วันนี้จะมาต่อกันในส่วนของเทคนิคการเรียนภาษาญี่ปุ่นให้เก่งขึ้นครับ

914หลังจากที่เรากำหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนภาษาญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจนแล้วสิ่งที่เราควรทำต่อไปเพื่อพัฒนาความสามารถด้านภาษาญี่ปุ่นก็คือ

3. พิจารณาว่าสถานการณ์ของตัวเองอยู่เสมอ
ลองพิจารณาดูว่าเรามีเวลาเยอะ หรือว่ามีเงินเยอะ
ส่วนมากสมัยเป็นนักเรียน ต่อให้ไปทำงานพิเศษก็ได้แค่ชั่วโมงละ 40 บาท ดังนั้นถ้าเราเอาเวลาเหล่านั้นของเรา มาใช้ในการอ่านหนังสือ เราก็สามารถจ่ายเพียงแต่ค่าหนังสือ ไม่ต้องจ่ายค่าคอร์สเรียนได้ ก็เหมือนกับเราเอาเวลาชั่วโมงละ 40 บาทของเรามาใช้แลกกับค่าคอร์สเรียน เราก็จะสามารถเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นได้ด้วยเงินจำนวนน้อยครับ และเดี๋ยวนี้ก็มีเพจในเฟสบุ๊คที่รวมกลุ่มคนเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่หลายกลุ่มเหมือนกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มักจะมีคนเก่งๆช่วยตอบคำถามของคนที่เพิ่งจะเริ่มเรียนให้อยู่แล้ว ถ้าเราซื้อหนังสือมาอ่านเองแล้วสงสัยอะไรก็ไปโพสต์ถามในกลุ่มก็ได้ ไม่ต้องเสียเงิน สำหรับการเรียนด้วยวิธีซื้อหนังสือมาอ่านเอง ถ้ายังคิดไม่ออกว่าหนังสือแบบไหนจะเหมาะสมกับระดับของตัวเองก็ไปโพสต์ถามก็ได้ จะได้ลดความเสี่ยงในการซื้อผิด อันจะทำให้สิ้นเปลืองเงินทองโดยใช่เหตุ
แต่ถ้าเป็นคนวัยทำงาน ค่าแรงต่อชั่วโมงเขาจะแพงกว่านักเรียน อย่างถ้าเราเงินเดือน 12,000 บาท ถ้าเราทำงานเฉพาะวันจันทร์ - ศุกร์ คิดเป็นค่าแรงต่อชั่วโมงก็จะได้ที่ประมาณ ชั่วโมงละประมาณ 75 บาทถ้ารวมสวัสดิการด้วยแล้วก็อาจจะเกิน 80 บาทต่อชั่วโมง แล้วถ้ายิ่งเงินเดือนสูงขึ้น ค่าแรงต่อชั่วโมงก็แพงขึ้น ดังนั้น สำหรับคนทำงาน ผมคิดว่าการเลือกจ่ายเงินไปลงเรียนน่าจะคุ้มค่ากว่า เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว ตอนผมเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นกว่าจะจำอักษรฮิรากานะ คาตาคานะ ได้หมดก็ใช้เวลาเกือบ 2 เดือน แต่พอดูเพื่อนๆที่ไปเรียนที่โรงเรียน เขาเรียนกันแค่ไม่ถึงอาทิตย์ก็จำได้แล้ว นั่นหมายความว่า การไปเรียนกับครูที่สอนเก่งๆนั้น จะช่วยให้เราเรียนได้เร็วกว่าซื้อหนังสือมาอ่านเอง 8-10 เท่า
ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาสถานการณ์ของเราเสมอๆ ว่าเรามีเวลาเยอะ หรือว่ามีเงินเยอะ แล้วเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองครับ ส่วนเรื่องแรง อย่างไรเสียเราก็ต้องเรียนตอนที่มีแรงเรียนอยู่แล้วครับ

4. หาที่ทดลองใช้ความรู้ที่ได้เรียนมา
เมื่อเราเรียนมาระยะหนึ่ง ก็คงเป็นธรรมดาที่เราอยากรู้ว่า ที่เราเรียนมานั้นใช้ได้ไหม พูดรู้เรื่องหรือยัง และการได้ทดลองใช้ภาษาก็จะทำให้เรารู้สึกสนุกกับการเรียนภาษาต่อไปด้วยครับ
สำหรับผู้เรียนชั้นต้น เนื่องจากสิ่งที่เราพูดได้นั้นยังจำกัด อาจจะใช้วิธีคุยกับเพื่อนที่เรียนมาพอๆกับเรา ตกลงกันว่าจะคุยกันด้วยภาษาญี่ปุ่น ถ้าเราคุยกับเพื่อนที่เรียนมาพอๆกัน เราก็จะสามารถคุยด้วยรูปแบบวิธีการพูดที่เราเรียนไปแล้ว หรือถ้าสำหรับคนเรียนเอง ไม่สะดวกคุยกับคนอื่น เราก็สามารถลองหาคำพูดภาษาไทย แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นดู แล้วเอาไปถามตามเพจให้เขาช่วยตรวจให้ก็ได้ครับ
ถ้าเป็นผู้เรียนในชั้นกลางถึงสูง อันนี้บางคนก็เริ่มจะเป็นล่ามได้แล้ว ก็ลองรับงานล่ามดู โดยในตอนแรกก็รับงานที่ไม่ค่อยแพงไปก่อน เพื่อหาประสบการณ์ หรือไม่ก็รับงานแปลเอกสารทั่วๆไปดูก็ได้ ถ้าไม่มีใครจ้างเราก็ลองเอาหนังสือที่สนใจมาแปลไปเรื่อยดูก็ได้ครับ
ไม่ว่าจะฝึกด้วยวิธีใดก็ตาม แต่ความสนุกในการเรียนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเราสามารถใช้สิ่งที่เราเรียนมาสร้างผลงาน สร้างประโยชน์อะไรให้แก่คนอื่นได้ ดังนั้น การหาที่ใช้ความรู้จึงเป็นอีกหนึ่งในกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผมชอบทำมากครับ

5. หาครูเก่งๆสอน
ในการที่จะเรียนให้เก่ง การลองผิดลองถูกเองไปเรื่อยๆก็เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ แต่ถ้าเรามีขีดจำกัดด้านเวลา เราก็ควรหาครูเก่งๆมาสอน เพราะ
5.1 ครูเก่งๆ จะช่วยกำหนดแนวทางการเรียน ช่วยหาแบบฝึกหัดที่เหมาะสมกับระดับของเรา ทำให้ความสามารถของเราพัฒนาขึ้นได้อย่างถูกทิศทาง บางคนถ้าได้เรียนกับครูเก่งๆ แค่ไม่กี่เดือน พัฒนาได้เร็วกว่าเรียนเองหลายปีรวมกันเสียอีก ในส่วนของวิธีการดูว่าครูคนไหนสอนเก่งหรือไม่เก่งก็ต้องดูที่ผลงานของเขา ว่าเขาสอนแล้วนักเรียนเก่งขึ้นมากไหม นั่นคือสิ่งเดียวที่จะบอกเราได้ว่าครูคนนั้นเก่งหรือไม่ ดังนั้น คนที่เรียนเก่งมากก็ไม่ได้รับประกันว่าจะเป็นครูที่เก่งมาก ในบรรดาคนเรียนเก่งก็มีบางคนเป็นครูเก่ง บางคนก็ไม่ใช่ เพราะความสามารถในการสอนไม่ได้แปรผันตรง หรือแปรผกผันกับความสามารถตอนเป็นนักเรียน ต้องดูเป็นคนๆไป อย่างไรก็ตามสไตล์การสอนของครูแต่ละคนนั้นก็สำคัญ ดังนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจเรียนก็อยากแนะนำให้ไปทดลองเรียนดูก่อน
5.2 ครูเก่งๆ ไม่ใช่แค่สอนวิชาให้เราได้แต่เพียงอย่างเดียว
ครูเก่งๆ ที่มีความเป็นมืออาชีพ ยังสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้เราได้ในฐานะการทำงานแบบมืออาชีพ สิ่งที่มืออาชีพแตกต่างจากมือสมัครเล่นอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ
1) วินัย : มืออาชีพจะมีวินัยสูงมาก ส่วนมากจะเป็นคนตรงต่อเวลา เตรียมบทเรียนเป็นอย่างดี ขยันฝึกซ้อม ถ้าครูที่ใช้เวลาเตรียมการสอนมา 20-40 ชั่วโมงก่อนการสอน3-4ชั่วโมง จะสอนดีกว่าครูที่ไม่ได้ฝึกซ้อมสอนก็เป็นเรื่องปกติครับ ดังนั้น มืออาชีพนั้นใช้เวลาฝึกซ้อมมากกว่าเวลาในการลงสนามเสมอๆครับ
2) ความใส่ใจต่อรายละเอียด : ครูที่เป็นมืออาชีพจะวางแผนการสอนเป็นอย่างดี และมีการอัพเดตตำราเรื่อยๆ ครูที่เป็นมืออาชีพแม้จะไม่สามารถตอบได้ทุกคำถามในทันที แต่เขาจะไม่ข้ามคำถามใดๆของนักเรียนไป เพราะในการทำงานใดๆก็ตามถ้าเราละเลยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ไปเรื่อยๆ พอผ่านไปหลายๆกระบวนการเข้าก็กลายเป็นเราละเลยสิ่งต่างๆไปเยอะมาก ผลงานที่ออกมาจะดูไม่ได้เลยครับ ดังนั้น มืออาชีพจะไม่ปล่อยรายละเอียดใดๆไป จะพยายามทำให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ตนจะมีความสามารถ

นี่คือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากการมีแบบอย่างที่ดีครับ การเลียนแบบคนอื่นเป็นหนทางที่เร็วที่สุดในการจะแซงเขาครับ แบบอย่างที่ดี เมื่อหาได้แล้ว เราต้องตั้งเป้าว่าจะเป็นให้ได้อย่างเขา และหลังจากนั้น ขอให้ตั้งเป้าต่อว่า จะไปให้ไกลกว่าเขา เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่า ครูมืออาชีพทุกคนฝันที่จะเห็นลูกศิษย์เก่งกว่าตัวเองครับ

-お知らせ ข่าวประกาศ

Copyright© Ryan Sun Sensei คอร์สติวสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นอาจารย์ไรอัน สุน , 2024 All Rights Reserved.