น้องชายของเซนเซ ซึ่งเป็นนักเรียนคนหนึ่งของเซนเซได้ทุนมงบุโชไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น
เขาได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ เป็นนักเรียนคนแรกของมหาวิทยาลัยนี้ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐชั้นนำที่มีชื่อเสียงในด้านการสอนภาษาญี่ปุ่นที่สามารถสอบเข้า ป.โทได้ทันทีหลังไปถึง ทำให้เขาต้องเรียนในฐานะ 研究生 เพียงเทอมเดียว ในขณะที่นักเรียนต่างชาติคนอื่นๆของมหาวิทยาลัยนี้ต้องเรียนในฐานะ研究生 3 เทอม น่าภาคภูมิใจในฐานะที่คนสร้างประวัติศาสตร์นี้เป็นคนไทย
และในเทอมล่าสุด เมื่อเกรดออกครบทุกตัวแล้ว ปรากฎว่าเขาได้ เกรด S (90-100คะแนน) ถึง 16 รายวิชา รายวิชาละ 2 หน่วยกิต และได้เกรด A (80-89คะแนน) 1 รายวิชา การลงรายวิชาเยอะขนาดนี้ถือว่าเยอะกว่านักเรียนทั่วไปมาก เพราะนักเรียนป.โททั่วไปปีแรกจะเรียนกันแค่ 11-12 รายวิชาเท่านั้นเอง เพราะในการเรียนป.โทที่ญี่ปุ่นการลงเรียนมากรายวิชาก็หมายถึงว่าจำนวนหนังสือที่ต้องอ่าน และจำนวนรายงานที่ต้องเขียนก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ต่อให้เป็นนักเรียนชาวญี่ปุ่นที่ลงเยอะที่สุด ก็ยังได้ เกรด S เพียง 16 รายวิชา ดังนั้น ถ้านับแบบเหรียญทองโอลิมปิก ถือว่านักเรียนชาวไทยของเราสามารถเอาชนะนักเรียนชาวญี่ปุ่นได้ ในการเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น ถ้าเป็นสายวิศวะ เซนเซเคยได้ยินหลายครั้งแล้วว่า นักเรียนชาวไทยก็สามารถเรียนชนะชาวญี่ปุ่นได้ แต่ในด้านสายภาษาญี่ปุ่น นี่เป็นครั้งแรกที่เซนเซเคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้
ไม่แน่ นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ว่า เป็นครั้งแรกที่นักเรียนต่างชาติลงเรียนเยอะ และทำเกรดได้จนเหนือกว่านักเรียนชาวญี่ปุ่นที่ทำได้ดีที่สุด ในการเรียนภาษาญี่ปุ่นระดับ ป.โท ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของญี่ปุ่น
น่าภาคภูมิใจขนาดไหนครับ ที่เราได้ทราบว่า คนเขียนประวัติศาสตร์หน้านี้ไว้ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้คือ คนไทยของเรานั่นเอง
ขณะนี้น้องชาย หรือก็คือนักเรียนคนหนึ่งของเซนเซนั้น ยังอยู่ในเส้นทางที่จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ไปเรื่อย แต่เขาจะเขียนได้สำเร็จอีกไหม ยังไม่มีใครรู้ เพราะแค่สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ มันก็เกินจินตนาการของเซนเซไปเยอะมากแล้ว หลังจากนี้ เซนเซคงได้แต่เฝ้าดูด้วยใจจดจ่อ เพราะจุดที่เขากำลังจะมุ่งไป อย่าว่าแต่ไปถึงเลย แค่มองเห็นเซนเซยังไม่เคยมองเห็นเลยครับ
ขอเป็นกำลังใจให้นักเรียนคนนี้ และทุกๆคนที่กำลังพยายามอยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน ด้านการทำงาน ขอให้พยายามให้เต็มที่ต่อไปเรื่อยๆนะครับ