ซึ่งเป็นคำสอนที่ประธานบริษัทได้สอนเจ้านายผมในการปฐมนิเทศน์ตอนเข้าบริษัท
เรื่องนั้นก็คือ
ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร ก็ขอให้พยามจนเป็นคนแถวหน้าสุดในสายงานนั้น (どんな仕事をしていても、トップを目指して)
เจ้านายได้อธิบายเหตุผลเพิ่มเติมว่า คนที่เป็นระดับท็อปของวงการทุกคนจะรู้วิธีขยันจนได้เป็นท็อป(トップになるために努力の仕方がわかる) และเมื่อเขาเหล่านั้นต้องไปทำงานในสายอื่นที่ไม่ใช่สายที่ตนเองถนัด เขาก็ยังสามารถนำความรู้เกี่ยวกับวิธีการในการเป็นท็อปมาทำงานจนผลงานออกมาดีเยี่ยมได้อีกเรื่อย
แล้วเจ้านายก็พูดต่อว่า อย่างผมเนี่ย เป็นล่ามระดับท็อปแล้ว ดังนั้นจะเห็นว่าแม้แต่เรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่การล่าม ผมก็ทำได้ดีมาก ผมก็ดีใจนะ แต่ก็ต้องตอบแบบถ่อมตัวนิดหน่อยว่า いいえそんなことないんですよ。(ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ)
จะบอกว่าเจ้านายผมก็เป็นระดับท็อปของโลกในสายงานที่เขาทำอยู่ คือน่าจะมีไม่กี่คนบนโลกนี้ที่สามารถทำงานในสายนี้ในระดับที่สูงกว่าเขาได้
หลักการที่ว่าเราต้องพยายามฝึกฝน เรียนรู้ ในการทำงานจนได้เป็นคนแถวหน้าในการทำงานนั้น เป็นหลักการที่คล้ายๆกับที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือของปีเตอร์ ดรักเกอร์
ปีเตอร์ ดรักเกอร์เคยบอกไว้ว่า ข้อดีของการทำงานในรูปแบบองค์กรคือ การที่เราสามารถทำแต่สิ่งที่ตัวเองเก่งก็ได้ แล้วสิ่งที่เราไม่เก่งก็ให้คนอื่นๆที่เก่งด้านนั้นในองค์กรช่วยทำให้
หมายความว่าหากเราทำงานในองค์กรใดๆก็ตาม เราต้องเก่งซักด้านให้ได้นั่นเอง
นอกจากนี้ ผมเคยดูรายการทีวีญี่ปุ่น สัมภาษณ์ผู้บริหารของบริษัทกูเกิ้ลเจแปน ท่านก็ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า พนักงานกูเกิ้ลเจแปนทุกคนเก่งที่สุดในสายงานนั้นในบริษัท ดังนั้น แม้จะเป็นพนักงานหนุ่มๆก็เถอะ แต่พนักงานเหล่านั้นก็จะมีอย่างน้อยหนึ่งด้านที่เก่งกว่าท่าน และท่านไม่สามารถให้คำปรึกษาเรื่องงานได้ ท่านเพียงแต่ช่วยชี้แนะเรื่องการตัดสินใจได้เท่านั้น ซึ่งข้อมูลในการตัดสินใจทั้งหมดก็มาจากพนักงานแต่ละคนนั่นเอง เพราะในด้านที่เขาทำงานนั้น มีเขาเก่งสุดแล้วในบริษัท
ขอให้แฟนเพจทุกคนเน้นไปที่การพัฒนาความสามารถส่วนตัวให้สำเร็จก่อน ถ้าคุณชอบเป็นล่าม ก็ขอให้เป็นล่ามระดับท็อปให้ได้ก่อนนะครับ ผมให้กำลังใจ
เมื่อเร็วๆนี้ เจ้านายผมได้สอนวิธีคิดเกี่ยวกับการทำงานให้ผมอีกเรื่องหนึ่ง