นักเรียนเก่าของเซนเซได้รับเกียรติบัตรจากท่านเอกอัคราชทูต และ สิ่งที่เขาทำได้ยิ่งใหญ่พอๆกับเซนเซโดยที่อายุน้อยกว่า
เมื่อวานนี้นักเรียนส่งรูปมาให้ดูครับมีเรื่องน่ายินดีสองเรื่อง
เรื่องแรกเขาไปร่วมงานเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย ที่ทางสถานทูตไทยในกรุงโตเกียวได้จัดขึ้น จึงได้รับเกียรติบัตรจากท่านเอกอัคราชทูตมาครับ ซึ่งเขาก็ดีใจมาก จึงได้มาเล่าให้เซนเซฟัง
และเรื่องที่สองคือ วันเดียวกันนี้ รุ่นน้องของนักเรียนเก่าคนนี้ได้อ่านประกาศแล้วว่าได้รับทุนมงไปต่อป.โทที่ญี่ปุ่น และด้วยความช่วยเหลือของนักเรียนเก่าของเซนเซทำให้รุ่นน้องคนนี้ประทับใจ จนเขียนชมหน้าเฟส ว่าถ้าไม่มีนักเรียนเก่าของเซนเซคนนี้ช่วยคงไม่มีวันนี้ เซนเซก็ได้สอบถามไปว่า แล้วนักเรียนช่วยอะไรรุ่นน้องบ้างหละ เขาก็ตอบว่าที่จริงก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ส่วนมากจะแค่ให้กำลังใจเท่านั้นเอง เซนเซก็บอกว่า ตอนที่เซนเซช่วยให้เขาได้ทุนนั้นอะ เซนเซอายุ 30 ปี แต่ว่า นักเรียนช่วยให้รุ่นน้องได้รับทุนสำเร็จตอนอายุ 26 ปี ถือว่านักเรียนเก่งกว่าเซนเซแล้วนะเพราะสามารถทำสิ่งเดียวกันได้ ทั้งๆที่อายุน้อยกว่าเซนเซตั้งหลายปี นักเรียนเก่าเซนเซก็ตอบว่า สิ่งที่เขาทำให้รุ่นน้องนั้นอะ เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เซนเซช่วยเขา เขายังไม่ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดที่เซนเซทำหรอก
แต่ลองมาย้อนดูนะครับ ตอนที่นักเรียนคนนี้จะสมัครทุนมงนั้นอะ เซนเซก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขามากกว่าการแค่ให้กำลังใจเลยนะ โอเค อันที่จริงเขาส่ง 研究計画 มาให้เซนเซอ่านก่อนที่จะนำไปส่งให้อาจารย์ เซนเซอ่านแล้วก็แทบไม่ได้แก้อะไร เพราะเขียนดีมากๆอยู่แล้ว เซนเซอ่านจบรู้เลยว่า นักเรียนที่เขียน 研究計画 ได้ขนาดนี้ได้ทุนแน่นอน และสุดท้ายก็ได้จริง
ลองมาคิดย้อนดูเรื่องที่เราแค่ช่วยให้เขามีกำลังใจเนี่ย สำหรับเราในฐานะคนช่วยอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องยาก หรือเรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่สำหรับคนที่ได้รับกำลังใจจากเรานั้น เวลาที่เขากำลังท้าทายกับงานที่ยากมากๆ ซึ่งในเวลานั้นเขาจะเกิดความกังวล ความว้าเหว่ ความวุ่นวายภายในจิตใจ ความไม่มั่นคง แล้วถ้าเขามีใครซักคนคอยรับฟังตลอดเวลา คอยให้กำลังใจตลอดเวลา เมื่อเขาผ่านจุดนั้นไปได้ การช่วยเหลือโดยการ "แค่" ให้กำลังใจของเรานั้น จะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในความรู้สึกของเขา เพราะพอไปถึงตรงที่ยากสุดๆ ตรงที่เราต้องแข่งขันเต็มที่ที่สุดนั้น ทุกคนที่ลงแข่งส่วนมากจะเก่งพอๆกันหมดแหละ ถึงตรงนั้นสิ่งที่จะสามารถสร้างความแตกต่างคือ กำลังใจที่เข้มแข็งนั่นเองครับ กำลังใจดีกำลังกายก็มา สมาธิก็มา ก็จะช่วยให้เราสามารถตื๊อต่อไปได้จนถึงที่สุด นี่คงเป็นเหตุผลที่เซนเซ "แค่" คอยให้กำลังใจเท่านั้นเอง แต่นักเรียนของเซนเซกลับรู้สึกว่า เขาได้รับความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่มาก
สำหรับเซนเซ การได้พบกว่า นักเรียนของตนเองนั้น เก่งกว่าตนเองตอนอายุเท่ากัน ถ้าเป็นเซนเซตอนที่ยังมีวุฒิภาวะต่ำอยู่ เซนเซอาจจะรู้สึกอิจฉาที่ได้เห็นว่าคนอื่นเก่งกว่าเราอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้เซนเซไม่ได้มีวุฒิภาวะต่ำขนาดนั้นแล้ว เซนเซจึงรู้สึกยินดีมาก ที่เซนเซสามารถสร้างคนที่เก่งกว่าตนเองได้ในด้านการช่วยให้คนอื่นได้รับทุนมง ป.โท เพราะเป้าหมายหนึ่งของเซนเซก็คือ การสร้างคนที่เก่งกว่าตนเองนั่นเอง ดังนั้น วันนี้ก็เหมือนกับว่าเซนเซเองก็ได้บรรลุเป้าหมายอีกอันหนึ่งของตัวเองด้วยเช่นกัน
การเรียนรู้จากคนเก่ง คือหนทางที่จะช่วยให้เราเก่งขึ้นเร็วที่สุดครับ
และเมื่อเราเก่งขึ้นมากๆ เราจะทำงานเร็วขึ้นมากๆ ยกตัวอย่างเช่นหนังสือบุนโปของเซนเซ ที่เมื่อใครได้อ่านก็คิดว่าน่าจะต้องใช้เวลาเขียนหลายปี แต่เซนเซใช้เวลาเขียนแค่ประมาณ 1 ปีเท่านั้นเอง เพราะว่าเซนเซมีสกิลอ่านเร็วทำให้เซนเซสามารถอ่านภาษาญี่ปุ่นได้เร็วกว่าตัวเองตอนยังไม่มีสกิลนี้ประมาณ 10 กว่าเท่า จึงสามารถค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆได้เร็วขึ้นมาก พอเอาสกิลอ่านเร็วมาบวกกับสกิลอ่านหนังสือยากๆที่มีติดตัวมาตั้งแต่ตอนเรียนป.ตรีวิศวเคมีม.เมจิแล้ว และสกิลอ่านหนังสือยากๆนี้ยังได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆตามปริมาณหนังสือที่อ่านไป ทำให้เซนเซสามารถทำงานยากๆได้เร็วมากๆ ทำให้เรามีเวลามากพอที่จะเอื้อเฟื้อแบ่งปันเวลาของเราให้กับคนอื่นๆที่กำลังต้องการมัน